สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศที่ได้ฉายาว่า “โรงงานของโลก” ด้วยฐานการผลิตและการส่งออกสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นประเทศที่มีประชากรถึง 1.4 พันล้านคนซึ่งมากที่สุดในโลก โดยราว 60% หรือกว่า 800 ล้านคนอาศัยอยู่ในเขตเมือง จึงไม่น่าแปลกใจที่จีนจะเป็นประเทศที่ผลิตและบริโภคพลาสติกมากที่สุดในโลก และถูกจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่สร้างขยะทะเลมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งแบบไม่มีใครเทียบได้อีกด้วย
แต่น่าสนใจว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จีนได้ทำการปฏิรูปกฎหมายและปรับปรุงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะพลาสติกและเศรษฐกิจหมุนเวียนหลายฉบับ โดยเฉพาะการสั่งห้ามนำเข้าขยะจากต่างประเทศอย่างเด็ดขาดด้วยนโยบายการลงดาบ (China Sword Policy 2018) มาตรการห้ามใช้พลาสติกประเภทใช้แล้วทิ้งหลายประเภท และมาตรการบังคับให้มีการคัดแยกขยะในระดับครัวเรือน รวมไปความพยายามสร้างเมืองที่ปลอดขยะ (zero waste cities) โดยนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยติดตามเพื่อให้เกิดการคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง นับเป็นบทเรียนที่น่าศึกษาและนำมาปรับใช้กับการแก้ปัญหาขยะพลาสติกในประเทศไทยได้
ก่อนหน้าที่จีนจะห้ามนำเข้าขยะจากต่างประเทศตั้งแต่ 1 มกราคม ค.ศ. 2018 จีนเป็นประเทศที่มีการนำเข้าขยะพลาสติกมากที่สุดในโลก โดยมีขยะนำเข้าสะสมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 ถึง 106 ล้านตัน หรือราว 45.1% ของปริมาณขยะนำเข้าสะสมทั่วโลก เรือขนส่งสินค้าที่นำเอาสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนไปขายในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มักจะเดินทางกลับมาพร้อมกับขยะรีไซเคิลปริมาณมหาศาลจากประเทศพัฒนา ระบบรีไซเคิลในประเทศจีนดำรงอยู่ได้ด้วยแรงงานราคาถูก พร้อมกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นที่ถูกละเลยในอดีต
ปริมาณการบริโภคพลาสติกต่อหัวภายในประเทศของจีนเองก็เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในเวลา 10 ปี จาก 22 กิโลกรัมในปี ค.ศ. 2005 เป็น 45.1 กิโลกรัมในปี ค.ศ. 2015 และมากกว่า 60 กิโลกรัมในปี ค.ศ. 2020 ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมก็มีการผลิตสินค้าจากพลาสติกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 23 ล้านตันในปี ค.ศ. 2005 เพิ่มเป็น 58.36 ล้านตัน ในปี ค.ศ. 2012 และ 75.31 ล้านตันในปี ค.ศ. 2019 ปัจจุบันจีนผลิตพลาสติกออกมาเฉลี่ยกว่า 100 ล้านตันต่อปีหรือราว 1 ใน 3 ของพลาสติกที่มีการผลิตออกมาทั้งหมดทั่วโลก
การเติบโตของตลาดค้าขายออนไลน์ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและเครื่องสำอางต่างส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก มีการประเมินว่าในปี 2016 มีการผลิตบรรจุภัณฑ์ออกมากว่า 6 แสนล้านชิ้น เฉพาะการซื้อขายออนไลน์มีการใช้บรรจุภัณฑ์กว่า 4 หมื่นล้านชิ้นในปี ค.ศ. 2017 เทียบเท่ากับปริมาณขยะราว 8 ล้านตัน โดยคิดเป็นกล่องกระดาษราว 44% และถุงพลาสติกราว 34% กล่องกระดาษที่ใช้ในการขนส่งมีอัตราการรีไซเคิลราว 8% ในขณะที่บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีอัตราการรีไซเคิลต่ำมาก ส่วนใหญ่ถูกจัดการด้วยการนำไปเผาหรือฝังกลบ
ในภาพรวมประเทศจีนมีการสร้างขยะมูลฝอยขึ้นมากถึงปีละ 242 ล้านตันจากข้อมูลในปี ค.ศ. 2019 มีการประเมินว่า 11% คือขยะพลาสติกหรือราว 26.6 ล้านตัน โดยมีอัตราการรีไซเคิลโดยประมาณอยู่ที่ 25% หมายความว่ามีขยะพลาสติกถูกทิ้งในสิ่งแวดล้อมมากถึงเกือบ 20 ล้านตันต่อปี
ปัญหาใหญ่ของการจัดการขยะมูลฝอยในประเทศจีนคือระบบความสามารถในการจัดเก็บที่ยังไม่เพียงพอ ยกเว้นเฉพาะในเมืองขนาดใหญ่ ทำให้ขยะจำนวนมหาศาลไม่ได้ถูกจัดเก็บ หรือมีการหลุดรอดระหว่างการจัดเก็บและปลายทางสูงถึง 10% การกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบยังเป็นวิธีการหลักในการจัดการขยะมูลฝอย โดยมีหลุมฝังกลบที่ถูกกฎหมายกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ หลุมฝังกลบจำนวนมากตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งหรือทางน้ำ ทำให้ขยะจำนวนมากมีโอกาสหลุดรอดออกสู่มหาสมุทรได้ง่าย
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาประเทศจีนมีการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากขยะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ด้วยเหตุผลว่าสามารถกำจัดขยะได้ในปริมาณมากและได้ไฟฟ้ากลับคืนในกระบวนการ รัฐบาลกลางจึงมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน (waste to energy) ทั้งการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ระบบประกันรับซื้อพลังงานไฟฟ้า มาตรการยกเว้นภาษี ทำให้อัตราส่วนของขยะที่ได้รับการกำจัดด้วยวิธีนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 19.8% ในปี ค.ศ. 2011 เพิ่มเป็น 33.9% ในปี ค.ศ. 2015 และคาดว่าจะสูงถึง 50% ภายในปี ค.ศ. 2020 และมีจำนวนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะถึง 400 แห่งทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายหลายอย่างเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน ตั้งแต่งบประมาณที่ค่อนข้างสูงในการลงทุน อายุการใช้งานที่อาจจะไม่คุ้มค่า มลภาวะทางอากาศที่เกิดขึ้นจากการเผา และการประท้วงของประชาชนในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากการเผาขยะ
จีนมีพัฒนาการจัดการและคัดแยกขยะที่รวดเร็วและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เริ่มจากการสร้างหลุมฝังกลบขยะหลุมแรกของประเทศในปี ค.ศ. 1985 และมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการเก็บขยะตามมา แต่จนกระทั่งปี ค.ศ. 2000 ก็ยังไม่มีระบบการคัดแยกขยะใดๆ ระหว่างปี ค.ศ. 2011-17 เริ่มมีระบบการแยกขยะแบบสมัครใจเกิดขึ้นตามเมืองขนาดใหญ่ และในปี ค.ศ. 2017 มีการประกาศบังคับให้เมืองขนาดใหญ่ที่สุดของจีน 46 เมืองพัฒนาระบบคัดแยกขยะและนำมาปฏิบัติให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2020
ปี ค.ศ. 2018 เริ่มมีการทดสอบระบบคัดแยกและรีไซเคิลที่อาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล ปี ค.ศ. 2019 นครเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองแรกที่ประกาศระเบียบใหม่ที่บังคับให้ทุกครัวเรือนต้องแยกขยะอย่างถูกต้องได้แก่ ขยะเศษอาหาร/อินทรีย์ ขยะรีไซเคิล และขยะพิษอันตราย ผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับสูงสุด 10,000 บาทสำหรับบุคคล และ 125,000 บาทสำหรับผู้ประกอบการขนส่งขยะ รวมทั้งถูกหักคะแนนเครดิตทางสังคม (social credit) และกำหนดให้ขยายระบบคัดแยกขยะไปทุกเมืองในระดับจังหวัดภายในปี ค.ศ. 2025
นโยบายลงดาบแห่งชาติ ค.ศ. 2018 (National Sword Policy 2018) เป็นนโยบายของรัฐบาลจีนในการควบคุมการนำเข้าขยะรีไซเคิลอย่างเด็ดขาด โดยรัฐบาลจีนได้แจ้งต่อองค์กรการค้าโลก (World Trade Organization) วันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 ว่าจะห้ามการนำเข้าขยะภายในสิ้นปี และตั้งแต่ 1 มกราคม ค.ศ. 2018 ประเทศจีนก็ห้ามการนำเข้าขยะจากวัสดุต่างๆ 24 ประเภทจากต่างประเทศอย่างเด็ดขาดซึ่งรวมถึงพลาสติกพลาสติกเกรดต่ำเกือบทั้งหมดและเศษกระดาษรวมที่ไม่ได้คัดแยก
การเอาจริงของรัฐบาลจีนส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าพลาสติกของจีนลดลงถึง 99% และทำให้เกิดความปั่นป่วนในระบบการรีไซเคิลของโลกอย่างหนัก รวมทั้งได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของระบบรีไซเคิลในปัจจุบันที่ไม่ได้รวมต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมของประเทศปลายทางอีกด้วย คาดการณ์ว่านโยบายการลงดาบของจีนทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายขยะราว 110 ล้านตันภายในปี ค.ศ. 2030 ขยะจำนวนมากถูกส่งมายังประเทศปลายทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยแทน
เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2020 คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) และกระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมจีน ได้ร่วมกันประกาศแผนปฏิบัติการเพื่อจัดการขยะพลาสติก 2020-25 (Action Plan for Plastic Control (2020-2025) ระยะเวลา 5 ปี โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
(1) เป้าหมายของการจัดการขยะพลาสติกในภาพรวม ได้แก่
(2) มาตรการห้าม/จำกัดการผลิต การจำหน่าย และการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติก
(3) ผลักดันการใช้วัสดุทดแทน เช่น
(4) ปรับปรุงการรีไซเคิล (recycle) และจัดการขยะพลาสติกให้เป็นไปตามระเบียบ เช่น
(5) พัฒนาระบบสนับสนุนงานด้านการจัดการขยะพลาสติก เช่น
ในนครเซี่ยงไฮ้ มีการออกมาตรการสร้างแรงจูงใจและกำหนดบทลงโทษเพื่อให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสร้างและคัดแยกขยะ มีการสร้าง green account สำหรับประชาชนทุกคน ซึ่งเป็นระบบเครดิตที่ผูกกับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะบันทึกปริมาณขยะและประเภทของขยะที่แต่ละคนสร้างขึ้น การแยกประเภทขยะได้ถูกต้องจะทำให้ได้รับเครดิตที่สามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าได้ ในส่วนของบทลงโทษ นครเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้กำหนดค่าปรับสำหรับบุคคลที่ไม่คัดแยกขยะ หรือทิ้งขยะลงในถังผิดประเภทเป็นค่าปรับสูงสุดถึง 10,000 บาท และสำหรับธุรกิจขนส่งขยะที่ไม่แยกประเภทจะมีค่าปรับสูงสุดถึง 250,000 บาท เพื่อเป็นการให้แน่ใจว่าทุกภาคส่วนปฏิบัติตามระเบียบใหม่อย่างแข็งขัน มีการกำหนดค่าปรับสำหรับธุรกิจและหน่วยงานของรัฐที่ไม่ปฎิบัติตามกฎหมายรีไซเคิลสูงสุดถึงราวๆ 450,000 บาท
กฎหมายป้องกันและควบคุมมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมจากขยะมูลฝอยฉบับปรับปรุง ค.ศ. 2020 (Law on Prevention and Control of Environmental Pollution by Solid Wastes (Solid Waste Law 2020) เป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 ผ่านการแก้ไขปรับปรุงมาแล้ว 4 ครั้ง และได้รับการปรับปรุงและรับรองครั้งล่าสุดโดยรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2020 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2020 กฎหมายฉบับนี้มีทั้งหมด 126 มาตรา แบ่งเป็น 9 หมวดหมู่ โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันมลภาวะจากขยะมูลฝอย ส่งเสริมแนวทางการพัฒนาสีเขียว และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน
กฎหมายฉบับนี้ให้น้ำหนักกับการคัดแยกขยะในระดับเทศบาลและการห้ามนำเข้า ทิ้งและกำจัดขยะมูลฝอยและขยะพิษ ในมาตรา 24 ย้ำถึงเป้าหมายของจีนที่ต้องการลดการนำเข้าขยะมูลฝอยให้ลดลงเหลือศูนย์ให้ได้ โดยในกฎหมายฉบับปรับปรุงใหม่ได้เพิ่มความรับผิดชอบทั้งของผู้นำเข้าและผู้ทำการขนส่ง โดยเพิ่มโทษค่าปรับให้สูงขึ้นอย่างมาก และมีความพยายามเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดการขยะมูลฝอย
น่าสนใจที่ประเทศจีนมีกฎหมายส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 (Circular Economy Promotion Law 2008) โดยจำกัดความเศรษฐกิจหมุนเวียนว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยลดของเสีย ส่งเสริมการรีไซเคิลและฟื้นฟูผลิตภัณฑ์ (มาตรา 2) โดยกำหนดให้ภาคเอกชนต้องพัฒนาระบบการจัดการที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรและสร้างของเสีย เพื่อยกระดับการรีไซเคิลขยะและการนำทรัพยากรกลับมาใช้ได้ใหม่ (มาตรา 9)
นอกจากนี้ ภาคเอกชนต้องรับผิดชอบในการเก็บกู้ การนำกลับมาใช้ใหม่ และการกำจัดขยะตามข้อกำหนด (มาตรา 15) ภาครัฐมีหน้าที่สนับสนุนให้ประชาชนใช้ผลิตภัณฑ์รีไซเคิล (มาตรา 10) และก่อสร้างอาคารสำหรับอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บและรีไซเคิลขยะ (มาตรา 41)
รากฐานจากกฎหมายฉบับดังกล่าวได้รับการขยายผลขึ้นอย่างชัดเจนใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับที่ 13 ค.ศ. 2016-2020 และฉบับที่ 14 ค.ศ. 2021-25 (The five-year plan for Economic and Social Development of The People’s Republic of China) ตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ได้กำหนดเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเน้นถึงความสำคัญของกรอบหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) และเสนอให้สร้างความเข้มแข็งให้กับการจัดการขยะมูลฝอยและอุตสาหกรรมการผลิตซ้ำ และตั้งเป้าให้มีการนำขยะมูลฝอยในภาคอุตสาหกรรมกลับมาใช้ซ้ำได้ถึง 73% และมีอัตราการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนในชนบทให้ได้ถึง 90%
ในส่วนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 ฉบับปัจจุบันซึ่งครอบคลุมปี ค.ศ. 2021-2025 คณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนาแห่งชาติ เพิ่งจะเปิดตัวแผนพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ค.ศ. 2021 ซึ่งได้ตั้งเป้าพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านการส่งเสริมการรีไซเคิล การผลิตซ้ำ การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพลังงานหมุนเวียน โดยวางเป้าหมายที่วัดผลได้ภายในปี ค.ศ. 2025
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 ยังกำหนดภารกิจสำคัญสำหรับหน่วยงานในระดับภูมิภาค 3 ด้านหลักๆ คือ 1) การพัฒนาระบบรีไซเคิลในระดับอุตสาหกรรมและปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร 2) การพัฒนาระบบรีไซเคิลสำหรับขยะและส่งเสริมสังคมรีไซเคิล และ 3) ต่อยอดการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนในภาคเกษตรกรรม และการผลิตทางการเกษตรในรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 2020 คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ได้ออกประกาศแผนการดำเนินการระบบ EPR (หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต) สำหรับผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องเครื่องดื่ม ตามโครงการนำร่องที่ดำเนินการโดยเครือข่ายนวัตกรรมเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมรีไซเคิล (ATCCR) ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2018 แผนดังกล่าวกำหนดให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้ากล่องบรรจุภัณฑ์กล่องเครื่องดื่มต้องมีระบบ EPR หรือรับผิดชอบในการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว โดยส่งเสริมและให้คำแนะนำให้ผู้บรรจุ ร้านค้าปลีก ธุรกิจรีไซเคิล และผู้บริโภค เข้าร่วมโครงการในการนำบรรจุภัณฑ์ประเภทนี้กลับเข้าสู่ระบบรีไซเคิล โดยมีเป้าหมายให้ลดการใช้วัตถุดิบใหม่ลงให้ได้ร้อยละ 40 ภายในปี ค.ศ. 2025
ภายใต้แผนดำเนินการดังกล่าว ผู้ผลิตและผู้ส่งออกบรรจุภัณฑ์กล่องเครื่องดื่มจะมีความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นดังนี้
คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนรับผิดชอบในการออกแบบและประสานงานระบบ EPR ในขณะที่กระทรวงการเคหะและการพัฒนาชนบทและชุมชนเมือง จะให้คำแนะนำการคัดแยก ส่วนกระทรวงพาณิชย์ และกรมการตลาด จะแนะนำเรื่องการรีไซเคิล และมอบหมายให้รัฐบาลท้องถิ่น
ส่วนภาคอุตสาหกรรมต้องมีการควบคุมธุรกิจด้วยการสร้างมาตรฐานในการเก็บข้อมูลและรายงานข้อมูล วิเคราะห์และประเมินระบบ EPR พร้อมกับรายงานให้รัฐบาลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รวมทั้งประชาสัมพันธ์การดำเนินการ EPR ที่ประสบความสำเร็จ
ประเทศจีนนับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความท้าทายในการจัดการขยะมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขยะบรรจุภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณสูงถึงปีละ 45 ล้านตันภายในปี ค.ศ. 2025 แต่จีนก็นับว่ามีความก้าวหน้าในด้านนโยบายต่างๆ อย่างเห็นได้ชัดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การแบนการนำเข้าขยะและเศษพลาสติกอย่างเด็ดขาดตามนโยบาย National Sword Policy 2018 นโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีเป้าหมายค่อนข้างชัดเจนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับล่าสุด (ค.ศ. 2021-2025) รวมไปถึง แผนปฏิบัติการเพื่อจัดการขยะพลาสติก ค.ศ. 2020-2025 และกฎหมายป้องกันและควบคุมมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมจากขยะมูลฝอยฉบับปรับปรุงล่าสุด ค.ศ. 2020 การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง การกำหนดมาตรการสร้างแรงจูงใจทางการเงิน รวมทั้งการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยพัฒนาระบบแยกขยะในเมืองนับเป็นตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนในเมืองที่น่าสนใจ และช่วยให้มีการติดตามข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพอันเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างครบวงจร
หมายเหตุ: *บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยภายใต้โครงการศึกษาทางเลือกเชิงนโยบายในการพัฒนาระบบการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์เพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน โดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนับสนุนโดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)